DGA ผนึกกำลัง 28 หน่วยงานรัฐ พัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลเป็นฐานเดียวกันเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง-ผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA นำโดย นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ล่าสุดผนึกกำลังร่วมกับ 28 หน่วยงานภาครัฐ ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งประวัติศาสตร์ ในโครงการ “การเชื่อมโยงและปรับปรุงฐานข้อมูลประชาชนในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มคนพิการ และการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุตามสิทธิ/สวัสดิการที่จะได้รับรายบุคคลเพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ” โดย DGA ทำหน้าที่สำคัญในการให้คำปรึกษาและสนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) และธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) เพื่อให้มั่นใจว่าการบูรณาการข้อมูลทั้งหมดเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน มั่นคง และปลอดภัย
นางไอรดา เหลืองวิไล กล่าวว่า “ปัญหาข้อมูลภาครัฐที่มีความกระจัดกระจาย ไม่เชื่อมโยงกัน และมีความซ้ำซ้อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการดูแลประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คนพิการ และผู้สูงอายุ ให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการได้อย่างแท้จริง MOU ฉบับนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่ง DGA มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภารกิจนี้ โดยมุ่งเน้นการวางรากฐานการบริหารจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพและการธรรมาภิบาลข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกบูรณาการขึ้นมานั้นมีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย และสามารถนำไปใช้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง”
ทั้งนี้ความร่วมมือภายใต้ MOU นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนกลุ่มเปราะบาง (ครัวเรือนเปราะบาง/ผู้มีรายได้น้อย) กลุ่มคนพิการ และกลุ่มผู้สูงอายุ ให้มีความเชื่อมโยง ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นระบบเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการนำฐานข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุตามสิทธิ/สวัสดิการที่จะได้รับรายบุคคล เพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน โดยการบูรณาการข้อมูลจะครอบคลุม 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ด้านรายได้, ด้านการมีงานทำ, ด้านสุขภาพ, ด้านสวัสดิการสังคม และด้านการศึกษา เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงนโยบาย นอกจากนี้ การแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลจะพิจารณาเฉพาะฐานข้อมูลที่จำเป็นและมีความพร้อม โดยต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
“ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำในการวางแผนนโยบายและจัดสรรสวัสดิการ แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐของประเทศไทย ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อประชาชนในระยะยาว”