หม่อมอุ๋ยเผยแผนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งชาติ ปูพื้นรัฐบาลดิจิทัลรองรับนโยบายดิจิตัล อีโคโนมี


20 May 2558
2475

สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จัดงานสัมมนา ก้าวสู่ Digital Government ภายใต้นโยบาย Digital Economy ตามที่ ม.ร.ว.ปริดียาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มอบนโยบายด้านกรอบยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ซึ่งกำหนดเป้าหมายสำคัญให้ประเทศไทยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย และเพียงพอในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศผ่านการวางรากฐานเศรษฐกิจไทยสู่ “Digital Economy" และมีความจำเป็นที่ภาคราชการต้องร่วมมือกันพัฒนาภาครัฐในภาพรวมให้ก้าวสู่ การเป็น Digital Government โดยมี หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานในพิธี พร้อมการปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ บูรณาการ Digital Government ภายใต้นโยบาย Digital Economy และมี นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวรายงานในครั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ ห้องคอนเวนชั่น ชั้น ๔ อาคารคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้น วิภาวดี กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ และสื่อมวลชนเข้าร่วมประมาณ ๖๐๐ คน

หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 ในส่วนของนโยบายการสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลได้กำหนดให้มีการส่งเสริมและวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอย่าง จริงจัง ซึ่งมีทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่มุ่งเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 5 ด้านคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Hard Infrastructure) โครงสร้างพื้นฐานด้านการบริการ (Service Infrastructure) โครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐาน (Soft Infrastructure) ด้านส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Digital Economy Promotion) และด้านการพัฒนาสังคมดิจิทัล (Digital Society) 

ขณะนี้ ทุกยุทธศาสตร์มีความคืบหน้าพอสมควร เนื่องด้วยทุกหน่วยงานซึ่งรับทราบนโยบายได้เร่งดำเนินการเดินหน้าตามหน้าที่ รับผิดชอบของหน่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ เริ่มจากการจัดตั้งเนชั่นแนล บรอดแบนด์ หรือบรอดแบนด์แห่งชาติ ที่จะนำเครือข่ายใยแก้วนำแสง หรือไฟเบอร์ออปติก เข้าถึงทุกพื้นที่ ทุกสถานประกอบการ และทุกบ้านทั่วประเทศ ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องออกกฎหมายรองรับ ใช้เพียงตั้งคณะเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานขึ้นมาพิจารณาเตรียมการในด้านต่างๆ ก่อนที่กฎหมายจะออกมา ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการชุดนี้ผ่านการอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีแล้ว 

การจัดเตรียมดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่จะรวมข้อมูลที่มีหน่วยงานวิเคราะห์ ไว้แล้วมารวมไว้ด้วยกัน ก็เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่คืบหน้าไปมาก โดยในการจัดประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคมครั้งที่ 1/2558 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม มีมติให้หน่วยงานราชการทั้งหมดยกเว้นหน่วยราชการสำคัญสองหน่วยไม่สามารถของบ ประมาณเพื่อจัดซื้อหรือจัดทำศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์หรือ IDC เป็นของหน่วยงานเฉพาะของตนเองอีกต่อไป โดยให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ ซึ่งจะเป็นศูนย์เครือข่ายรวบรวมข้อมูลทุกด้าน ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยเปิดให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน และรัฐจะเปิดให้เอกชนมาประมูล โครงการต้องเสร็จภายใน 12 เดือน และเปิดใช้งานให้ได้ภายใน 10 เดือน 

จากมติดังกล่าวส่งผลให้แนวโน้มของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศจะมีการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง รัฐกับเอกชนจะเข้ามาร่วมกันลงทุน โดยจะมีหน่วยงานกลางรับผิดชอบในการกำหนดมาตรฐานการให้บริการ มาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูล เพื่อให้คุณภาพและราคาค่าบริการที่หน่วยงานภาครัฐใช้บริการอยู่บนมาตรฐาน เดียวกัน ต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยรองรับ มีสัดส่วนของพื้นที่เหมาะสมในการให้บริการตามความต้องการของท้องถิ่นทั่ว ประเทศไทย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ทุกแห่งจะมีการเชื่อมต่อถึงกัน และสามารถนำไปสู่การบริหารข้อมูลขนาดใหญ่อย่างเช่น Big Data ได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์หรือไอดีซี มีความจำเป็นมากสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะทำให้เกิดปริมาณข้อมูลมหาศาล ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องการจะนำเอาความต้องการใช้งานของภาครัฐไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ธุรกิจของเอกชน แต่ปัจจุบันยังมีผู้ให้บริการไม่มาก และแต่ละแห่งไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกัน ดังนั้นเพื่อสร้างเสถียรภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งประเทศ รัฐต้องสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดพื้นที่ขนาดใหญ่โดยหน่วยงานรัฐจะเป็นผู้ใช้ รายใหญ่เพื่อกระตุ้นความต้องการโดยรวมของประเทศขึ้นมา โดยดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้อาจเป็นการร่วมลงทุนกับทางภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้ทาง EGA กำลังศึกษารายละเอียดร่วมกับผู้ให้บริการไอดีซีทั้งภาครัฐและเอกชน

ดังนั้น ต่อไปนี้ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า “Data Center Consolidation” หรือ การรวมศูนย์ครั้งใหญ่ทั้งของภาครัฐและเอกชน จะไม่มีการลงทุนซ้ำซ้อนกันอีกแล้วโดยเฉพาะหน่วยงานรัฐ จากเดิมที่หน่วยงานแต่ละแห่งจะสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเอง ต้องลงทุนทั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย ซอฟต์แวร์ และบุคลากรจำนวนมาก เพื่อดูแลข้อมูลเฉพาะหน่วยงาน ขณะที่ข้อมูลเหล่านั้นก็ถูกเจ้าของหน่วยงานนั้นๆ หวงแหน ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันกับข้อมูลของหน่วยงานอื่นๆ ทำให้รัฐเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์

“สิ่งที่จะเห็นคือ ภาครัฐต้องกระโดดมาเป็น Digital Government แล้ว ไม่ใช่แค่เป็น e-Government เพราะขณะนี้ภาคเอกชน ภาคประชาชนกำลังเข้าสู่ยุค Digital Citizen แล้ว ภาครัฐต้องไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ การให้บริการต้องสามารถผ่านระบบเหล่านี้ได้ทันที ภาครัฐเองไม่ต้องมาสนใจหลังบ้าน ไม่ต้องมาสนใจสร้างเครือข่ายเอง ต้องกลับมาดูแลเฉพาะเรื่องการปรับปรุงบริการ กระบวนการทำงานหรือพัฒนาบริการอะไร อย่างไร ให้เป็น Smart Service ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนมากที่สุด” หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร กล่าวเพิ่มเติม

นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเสริมว่า รัฐบาลนี้มองเห็นอนาคต และต้องการนำประเทศไทยก้าวไปสู่สังคมที่มั่นคงและแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในระดับเวทีโลกได้ ดังนั้นการลงทุนด้วยการเปลี่ยนแปลงทุกด้านจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างรอบคอบและ มีทิศทาง ในขณะที่ทุกภาคส่วนกำลังขยับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลง ภาคราชการก็ต้องร่วมมือกันพัฒนาภาครัฐในภาพรวมให้ก้าวสู่การเป็น Digital Government ด้วย โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นองค์กรหลักที่เข้ามาขับเคลื่อนในด้านนี้ โดยจะยกระดับหน่วยงานภาครัฐสู่ Digital Government ในหลายส่วน ซึ่งสำหรับในงานสัมมนา “ก้าวสู่ Digital Government ภายใต้นโยบาย Digital Economy” วันนี้ จะว่าด้วยเรื่องภารกิจสำคัญเร่งด่วน 3 ประการ ได้แก่

การบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Data Center Consolidation) อันถือเป็นองค์ประกอบหลักของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิ ทัล เมื่อเกิดการบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐจะสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ลดความซ้ำซ้อนในการใช้งบประมาณจัดหาอุปกรณ์และลดภาระการใช้จ่ายงบประมาณใน ภาพรวมของประเทศ 

การบูรณาการข้อมูลบริหารสำหรับศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Operation Center : PMOC)  โดยดำเนินการให้มีระบบรายงานเพื่อใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศที่ทัน สมัย ใช้ในการติดตามการดำเนินงาน รวมถึงรายงานเหตุการณ์เร่งด่วนต่างๆ และการแก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งระบบดังกล่าวจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือในการบูรณาการข้อมูลจาก หน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วน

การบูรณาการการให้บริการประชาชน (Smart Services) อันสืบเนื่องมาจากพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทาง ราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งมุ่งใช้แนวทางการลดสำเนาเอกสารราชการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยการบูรณาการระบบบริการของราชการให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลที่ เกี่ยวข้องระหว่างหน่วยงานราชการ มีเป้าหมายนำร่อง 7 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เชื่อมโยงเข้ากับระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อลดการขอสำเนาเอกสารราชการจากผู้ขอรับบริการ รวมถึงการนำร่องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบางบริการของรัฐได้ด้วยตนเองผ่านตู้ บริการเอนกประสงค์ของรัฐ  (Government Kiosk for Self-Service)

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญซึ่งจะผลักดันให้ภาครัฐทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและสนับสนุนการ ทำงานเพื่อสร้าง Digital Government ภายใต้นโยบาย Digital Economy อย่างเป็นรูปธรรม คือการได้รับนโยบายจากผู้บริหารระดับสูงเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงความ จำเป็นเร่งด่วนและความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลตามภารกิจเร่งด่วนทั้ง 3 ประการข้างต้น

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา EGA ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานหลักดูแลเรื่อง e-Government ของประเทศ เร่งดำเนินงานในหลายโครงการเพื่อรองรับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลตามที่ รัฐบาลในชุดนี้มุ่งหวังและพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้ราชการยุคใหม่ก้าวกระโดดขึ้นเป็น Digital Government ซึ่งเรื่องสำคัญคือการบูรณาการข้อมูล ที่ภาครัฐจะต้องเป็นตัวนำร่อง เพราะข้อมูลจากเอกชนบางส่วนจะเกิดจากการบูรณาการข้อมูลของภาครัฐ โดยนอกจากการเร่งดำเนินการเรื่อง “Data Center Consolidate” ขณะนี้ได้สั่งการให้ EGA เร่งทำโครงการ Open Data ในภาครัฐ ที่เป็นการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานรัฐจะต้องมีโครงการนำร่องในการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลที่เป็น มาตรฐาน เพื่อทำให้แต่ละหน่วยนำข้อมูลไปบูรณาการ และพร้อมจะให้ประชาชนนำไปต่อยอดได้อีก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Hard Infrastructure) ไปพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริการ (Service Infrastructure)

นอกจากนั้น บทบาทของ EGA ในการขับเคลื่อน  Digital Government ก็ต้องรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยยังขาดกรอบนโยบายการขับเคลื่อนรัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศที่เป็นรูปธรรม ดังนั้น จากนี้ EGA ต้องเข้ามามีบทบาทเพื่อร่วมกำหนดทิศทางและนโยบายในการขับเคลื่อนรัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ  (National e-government policy maker) อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และ EGA จะต้องเป็นผู้นำริเริ่มการสร้างโครงสร้างด้านบริการที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความสำคัญและมีผลกระทบในวงกว้าง เช่น Data Center ขนาดใหญ่ การบริการด้าน Open Data และ Big Data Analytical (การให้บริการวิเคราะห์ข้อมูล) เป็นต้น หลังจากนั้นก็ต้องคอยติดตามและขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐให้เกิดการยกระดับ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA กล่าวเพิ่มเติมว่า การบูรณาการข้อมูลภาครัฐตามภารกิจเร่งด่วนทั้ง 3 ประการเป็นสิ่งเร่งด่วนที่ EGA ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ สำหรับงานด้านการบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Data Center Consolidation) บทบาทของ EGA จะเข้าไปดูแลทั้งในส่วนของการศึกษาแพลตฟอร์มที่จะทำให้ข้อมูลที่อยู่ในดาต้า เซ็นเตอร์ใหม่ทั้งหมดเชื่อมโยงถึงกัน สร้างมาตรฐานทั้งการเก็บและการเรียกใช้งาน รวมถึงแผนการลงทุนที่เหมาะสม โดยต่อไปนี้ภาคราชการไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะเข้ามาจัดซื้อจัดจ้าง หรือจัดหาบุคลากรมาดูแลดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ และจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมที่คิดว่าเมื่อป้อนข้อมูลของตนเองเข้าไป ข้อมูลเหล่านั้นจะต้องเป็นทรัพย์สินของหน่วยงานตนเองเท่านั้น ซึ่งต่อไปข้อมูลทั้งหมดจะเป็นของส่วนกลางและนำไปบูรณาการข้อมูลในภาพรวมทั้ง หมด ซึ่งในงานวันนี้ EGA ได้จัดทำแบบฟอร์มให้หน่วยงานได้ทำการสำรวจการใช้งาน Data Center ของตนเอง แล้วส่งให้ EGA รวบรวม เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปพัฒนาประสิทธิภาพระบบสารสนเทศภาครัฐ เพื่อการรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ต่อไป

ส่วนงานจัดการกับศูนย์ดาต้าของหน่วยงานราชการเดิมที่มีอยู่แล้ว กับดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่จากภาคเอกชนที่เข้าข่ายหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการ เตรียมการด้านดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะต้องมีการปรับโยกย้ายหรือนำเข้าระบบเดียวกับศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ที่จะ เกิดขึ้นในที่สุด

นอกจากนั้น EGA จะพิจารณาการลงทุนทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เน็ตเวิร์คกิ้ง และระบบรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการจัดสรรเกต์เวย์หรือช่องทางการสื่อสารออกสู่ต่างประเทศที่เหมาะสม อีกด้วย

ชมภาพเพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/media/set/?set=a.855396681196641.1073741858.542226425847003&type=3